Monthly Archives: มิถุนายน 2013

6 สมุนไพร “ลำไส้” ต้องการ

plant

เรียบเรียงจาก 6 สมุนไพร “ลำไส้” ต้องการ

…..

6 สมุนไพร “ลำไส้” ต้องการ

บาง ครั้งคนเรามักดูแลแต่ภายนอกร่างกาย และหลงลืมการดูแลสุขภาพภายในอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกับระบบย่อยอาหารที่ต้องรับอาหารเข้าไปอยู่ทุกวี่วัน จนบางครั้งอาจเกิดความผิดปกติได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง จุกเสียด และอื่นๆ ดังนั้นหันมารับประทานอาหารที่ประกอบด้วย 6 สมุนไพร ดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยป้องกันอาการไม่สบายในลำไส้ของเรากันจะดีกว่า

1. ใบแมงลัก 
น้ำมัน หอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ นอกจากนั้นยังช่วยขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม

2. พริกสด
ความ เผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป

3. หอมแดง 
แค่ กินหอมแดงอย่างเดียว ลำไส้คุณก็ยิ้มแล้ว เพราะเท่ากับซื้อหนึ่งได้ถึง สี่ ได้แก่สารฟลาโวนอยส์ ไกลโคไซต์ เพคติน และกลูโคคินิน 4 สารบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร คุ้มกว่านี้มีอีกไหม

4. ใบกะเพรา 
ถึง ชื่อเสียงของกะเพราจะมืดมนไปมาก ตั้งแต่ผักกะเพราถูกตั้งชื่อว่าผักสิ้นคิด แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหารมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้า ไป นอกจากนั้นยังช่วยย่อยไขมัน ลดอาการจุกเสียด

5. ตะไคร้ 
ให้ เคี้ยวกิน แต่กินยากเกินไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้ หรือซอยบางๆกินกับยำ คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้เริ่ดไม่แพ้ใบกระเพรา คือช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน สวมถึงแก้ปวดกระเพาะอาการ และช่วยขับปัสสาวะ

6. กระเทียม 
มี สูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝาก ให้เอากระเทียมมา 5 กลีบแล้วสับละเอียด กินทันทีหลังอาหาร กระเทียมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารจอมขี้เกียจของคุณยอมย่อยอาหารมื้อ นั้นแต่โดยดี ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการอาหารไม่ย่อยก็จะหายไปเอง นอกจากนั้นยังช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อด้วย

ขอขอบคุณข่าวสาร/ข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ

ที่มา : http://kruthai.info/view.php?article_id=5048

13.4 การทำให้วัตถุตัวนำเกิดประจุไฟฟ้า

         เป็นอย่างไรบ้างครับ เราได้เรียนรู้การเกิดไฟฟ้าสถิต คุณสมบัติของวัตถุ การนำไฟฟ้า หรือการเป็นฉนวนแล้ว ถ้าเราต้องการทำให้วัตถุเกิดมีประจุไฟฟ้านั้นนอกเหนือจากการขัดสี หรือถูกันแล้ว จะมีวิธีอื่นอีกบ้างไหม เราลองมาศึกษาในใบความรู้ต่อไปนี้ครับ

จุดประสงค์ของการเรียนรู้

1. นักเรียนสามารถบอกวิธีในการทำให้วัตถุตัวนำเกิดประจุไฟฟ้าโดยวิธีการขัดสีได้อย่างถูกต้อง

2. นักเรียนสามารถบอกวิธีในการทำให้วัตถุตัวนำเกิดประจุไฟฟ้าโดยวิธีการสัมผัส(แตะ)ได้อย่างถูกต้อง

3. นักเรียนสามารถบอกวิธีในการทำให้วัตถุตัวนำเกิดประจุไฟฟ้าโดยวิธีการเหนี่ยวนำไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง

13.4.01

13.4.02

13.4.03

13.4.04

13.4.05

13.4.06

13.4.07

13.4.08

13.4.09

13.4.10

13.4.11

13.4.12

13.4.13

13.4.14

13.4.15

 

       หลังจากที่นักเรียนศึกษาใบความรู้เสร็จแล้วให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดดังต่อไปนี้

 

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

เรียบเรียงจาก สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด

สุดยอด 5 ผลไม้บำรุงเลือด (สุขกายสบายใจ)
Fruitful Tips เรื่อง : สุธารัชฏ์ รัตนารามิก

       “ผลไม้ช่วยดูแลผิวพรรณ” ประโยชน์ของผลไม้อาจไม่ใช่เพียงบำรุงผิวพรรณ แต่ยังช่วยบำรุงเนื้อเยื่อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วอาหารหมวดผลไม้ก็สามารถให้สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน ธาตุเหล็ก รวมถึงกรดอะมิโนจำเป็นต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับอาหารในหมวดข้าว แป้ง และไขมัน สำหรับ Fruitful Tips ฉบับนี้ขอเน้นผลไม้ที่ดีต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่ทำให้สาว ๆ ดูเปล่งปลั่งจากภายในสู่ภายนอก

“ฮีโมโกลบิน” มาจากการรวมตัวกันของธาตุเหล็ก และโปรตีน

       ฮีม คือ องค์ประกอบของธาตุเหล็ก ทำหน้าที่ดักจับออกซิเจนจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โกลบิน คือ โปรตีน ทำหน้าที่ผลิตเลือดจากสายพันธุกรรมของเรา

ธาตุเหล็กสำคัญต่อเลือด

       เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับปริมาณฮีโมโกลบิน ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดง สาเหตุที่เลือดเป็นสีแดงก็เพราะในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีสารประกอบสีแดงอยู่เป็นส่วนใหญ่ และมีองค์ประกอบของธาตุเหล็กอยู่ประมาณร้อยละ 65-67

       ดังนั้นจึงถือได้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้างธาตุเหล็กขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และจะถูกร่างกายนำไปสร้างเป็นโปรตีนเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราควรมีประมาณฮีโมโกลบินประมาณ 20-30 ล้านล้านเซลล์จึงจะถือว่าอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นหากจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตฮีโมโกลบินก็ควรบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่ มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เหมาะสมนั่นคือประมาณ 15 มิลลิกรัมต่อวัน

อาการเมื่อปริมาณฮีโมโกลบินในร่างกายต่ำ

สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีคือ

       กรณีไม่ร้ายแรง อาการกรณีนี้สามารถดีขึ้นจนหายไปเอง หากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หรือบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะเข้าสู่ร่างกาย เช่น เหนื่อยล้า หายใจถี่ ใจสั่น ปวดศีรษะ มึนงง เป็นลม มือเท้าเย็นเจ็บบริเวณหน้าอก ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร และสีผิวเปลี่ยนไปเป็นขาวซีด จนม่วงคล้ำดูไม่มีน้ำมีนวล

       กรณีเป็นโรคทางพันธุกรรม กรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากมีระยะการเจริญพันธุ์ของโรคและอาการแฝง เช่น โรคธาลัสซีเมีย (โรคเลือดจาง) อาจมีอาการแฝงคือ อะเนเมีย (Anemia) หรือภาวะร่างกายสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติ เป็นต้น

5 ผลไม้ที่ดีต่อระบบการไหลเวียนโลหิต

   1.ทับทิม



tubtim

        ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือด แดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

   2.แก้วมังกร

kaewmonkorn

       อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

   3.สตรอว์เบอร์รี่



strawbery

        ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่าอาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

    4.กล้วย

banana

        ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วย ช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

   5.แตงโม

watermelon

       จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

        ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิต เลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่าย ๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่ มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาวได้แล้ว

ขอบคุณที่มาจาก นิตยสารสุขกายสบายใจ

ที่มา : http://www.kroobannok.com/58843

13.3 ตัวนำและฉนวนไฟฟ้า

        เราทราบแล้วว่าประจุไฟฟ้าเกิดขึ้นได้อย่างเรา แต่ถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่าวัตถุที่นำมาถูกันนัั้น เมื่อพิจารณาให้ถ้วนถี่แล้วจะมีความสามารถอื่นทางไฟฟ้าอีก ซึ่งเราเรียกว่า สมบัติการนำไฟฟ้า อยากรู้แล้วใช่ใหมครับ ถ้าอย่างนั้นเราลองมาศึกษาดูในใบความรู้ต่อไปนี้เลยละกัน

จุดประสงค์ของการเรียนรู้

1. นักเรียนสามารถบอกความหมายของตัวนำ และยกตัวอย่างวัตถุที่มีสมบัติเป็นตัวนำได้อย่างถูกต้อง

2. นักเรียนสามารถบอกความหมายของฉนวน และยกตัวอย่างวัตถุที่มีสมบัติเป็นฉนวนได้อย่างถูกต้อง

13.3.01

13.3.02

13.3.03

13.3.04

13.3.05

13.3.06

หลังจากที่ได้ศึกษาใบความรู้แล้ว เราลองมาตอบคำถามกันดูนะครับ

.

.

.