Monthly Archives: มกราคม 2013

กูเกิล/โมโตโรล่ากำลังพัฒนาแบตมือถือให้เก็บไฟได้มากขึ้นกว่าเดิม

เรียบเรียงจาก กูเกิล/โมโตโรล่ากำลังพัฒนาแบตมือถือให้เก็บไฟได้มากขึ้นกว่าเดิม

กูเกิล/โมโตโรล่ากำลังพัฒนาแบตมือถือให้เก็บไฟได้มากขึ้นกว่าเดิม

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Androidauthority

       ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนทุกคน คงจะต้องเคยพบกับปัญหาของแบตเตอรี่กันอย่างแน่นอน เพราะมันช่างหมดไวเสียเหลือเกิน ต้องคอยชาร์จทุกคืน แถมบางทีเล่นไปเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงก็แบตหมดซะแล้ว ต่างกับโทรศัพท์มือถือในสมัยก่อนที่ชาร์จครั้งเดียวอยู่ได้เป็นสัปดาห์เลยทีเดียว

       ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่าน แหล่งข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า นาย Larry Page ผู้บริหารของกูเกิล (Google) ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่ากำลังร่วมมือกับโมโตโรล่า (Motorola) ที่ปัจจุบันได้เป็นบริษัทลูกของกูเกิลไปแล้ว พัฒนาคุณภาพของแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนให้สามารถเก็บประจุไฟได้มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ใช้ได้ยาวนานมากขึ้น โดยในก่อนหน้านี้โมโตโรล่าได้เคยออกสมาร์ทโฟนรุ่น Razr Maxx HD มีความจุแบตเตอรี่สูงถึง 3,300 mAh มาแล้ว ซึ่งคาดว่าในอนาคตกูเกิลและโมโตโรล่าน่าจะพัฒนาให้แบตเตอรี่มีความจุมากกว่า 3,300 mAh และก็อาจจะได้นำไปใช้กับ X Phone ก็เป็นได้

กูเกิล/โมโตโรล่ากำลังพัฒนาแบตมือถือให้เก็บไฟได้มากขึ้นกว่าเดิม

       นับว่าเป็นเรื่องที่ดูน่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยล่ะครับ ลองคิดกันดูสิว่าถ้าเราสามารถเล่นแชทเล่นเน็ตบนสมาร์ทโฟนต่อเนื่องได้หลาย ๆ ชั่วโมงโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมด มันจะยอดเยี่ยมมากแค่ไหนกันนะ…

ที่มา : http://android.kapook.com/view55318.html

ฟื้นฟูสุขภาพผิวได้ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้จากห้องครัว

เรียงเรียงจาก ฟื้นฟูสุขภาพผิวได้ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้จากห้องครัว

ฟื้นฟูสุขภาพผิวได้ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้จากห้องครัว

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

       ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวกายของผู้ชายออกมาวางขายมากมายตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งถึงแม้จะหาซื้อได้ง่ายและใช้งานได้อย่างสะดวก แต่ในผลิตภัณฑ์เหล่านั้นต่างก็มีส่วนผสมของสารเคมีปะปนอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งสารเคมีเหล่านี้อาจทำให้ผิวของคุณเกิดอาการแพ้ได้ อีกทั้งสารเคมีอาจตกค้างสะสมอยู่ในผิวหนังก็ได้ คงจะดีกว่าหากคุณผู้ชายจะหันมาใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ และหาได้ง่ายจากห้องครัวภายในบ้านของเราเอง ดังเช่นวัตถุดิบที่เรานำมาฝากกันในวันนี้

ฟื้นฟูสุขภาพผิวได้ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้จากห้องครัว

1. ผงไม้จันทร์

       ไม้จันทร์จัดเป็นหนึ่งในพรรณไม้หอม ซึ่งมีคุณสมบัติทางยาหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ ช่วยให้ผิวของคุณสะอาดและมีสุขภาพดีขึ้น ขั้นตอนในการผสมนั้นก็ไม่ยากเลยแค่เพียงนำผงไม้จันทร์และน้ำดอกกุหลาบอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาทาให้ทั่วทั้งบริเวณใบหน้าและลำคอ ปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อยประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ส่วนผสมเหล่านี้สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าของคุณเรียบเนียน ขาวใส และปรับสภาพโครงสร้างเซลล์ผิวให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันสิว และกระชับรูขุมขนด้วย หากเป็นไปได้ควรทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

ฟื้นฟูสุขภาพผิวได้ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้จากห้องครัว

          2. มะเขือเทศ 

       มะเขือเทศใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายอย่างเลย ทั้งนี้เพราะสารอาหารในมะเขือเทศช่วยให้ผิวดูขาวใส ปรับโครงสร้างเซลล์ผิว ช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น ทั้งนี้คุณสามารถนำมะเขือเทศมาบำรุงผิวด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ โดยการนำมะเขือเทศไปใส่ไว้ในช่องแช่แข็ง 15 นาที จากนั้นก็นำมาตัดครึ่งแล้วนำไปถูวนจุดที่คุณต้องการ เพื่อให้สารอาหารค่อย ๆ ซึมซับเข้าสู่เซลล์ผิว ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นและมีสุขภาพดีขึ้น

ฟื้นฟูสุขภาพผิวได้ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้จากห้องครัว

          3. น้ำกุหลาบ

       สำหรับคนที่ต้องการโทนเนอร์สำหรับทำความสะอาดผิวหน้า ก็สามารถทำได้เองไม่ยากเลย แค่เพียงนำน้ำดอกกุหลาบมาผสมกับน้ำเย็นเท่านั้น สารอาหารจากดอกกุหลาบและความเย็นจะช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน และขาวกระจ่างใสมากขึ้น หากคุณอยากจะให้เห็นผลเร็วขึ้นควรทำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก่อนทำความสะอาดใบหน้าทุกครั้ง

ฟื้นฟูสุขภาพผิวได้ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้จากห้องครัว

          4. น้ำมะนาว

       สำหรับคนที่มีปัญหาหน้ามันและมีรอยไหม้จากแสงแดดบนใบหน้า ให้ผสมน้ำมะนาวกับน้ำสะอาดเข้าด้วยกันในอัตรา 1 ต่อ 1 จากนั้นนำมาพอกบริเวณผิวที่คุณต้องการ ทิ้งเอาไว้สักประมาณ 2 – 3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด กรดในน้ำมะนาวจะช่วยให้ความมันและร่องรอยผิวไหม้จากหายไป นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมทั้งกระตุ้นการไหลเวียนเลือดอีกด้วย ทั้งนี้แนะนำให้ใช้อย่างมากสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็พอ

ฟื้นฟูสุขภาพผิวได้ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้จากห้องครัว

          5. แตงกวา

       ผักอีกหนึ่งชนิดที่มักจะนำมาใช้ในเครื่องสำอางต่าง ๆ ซึ่งคุณก็สามารถนำมาใช้บำรุงผิวได้ด้วยตัวเองเช่นกัน โดยฝานแตงกวาออกเป็นชิ้น ๆ แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด จากนั้นใช้ผ้าขาวกรองเอาเฉพาะน้ำแตงกวาออกมาทาลงบนผิวทิ้งไว้ประมาณ 5 – 10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด แตงกวาจะช่วยลดรอยด่างดำ รอยฝ้า อีกทั้งยังช่วยคืนความชุ่มชื่นให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย

       ทั้งนี้ การบำรุงและดูแลใบหน้าด้วยตัวเองนั้น ไม่จำเป็นจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ราคาแพงมาใช้เสมอไป แต่แค่เพียงรู้จักวิธีการดัดแปลงและนำคุณสมบัติของพืชผัก ผลไม้ในบ้านมาใช้ให้ถูกวิธีเท่านั้นก็ใช้ได้เช่นกัน ที่สำคัญแต่ละวิธีก็ไม่ได้มีขั้นตอนมากมาย เพียงแค่หมั่นดูแลผิวเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ผิวของคุณก็จะกลับมาเรียบเนียนได้เหมือนเดิมแล้วล่ะครับ

ที่มา : http://men.kapook.com/view55176.html

จับสังเกตอาการผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิต พร้อมวิธีรักษา

เรียบเรียงจาก จับสังเกตอาการผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิต พร้อมวิธีรักษา

จับสังเกตอาการผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิต พร้อมวิธีรักษา

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

       โรคป่วยทางกายมีสัญญาณเตือน โดยการแสดงความผิดปกติทางร่างกายออกมาให้เห็น ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการใช้ยาหรือการผ่าตัด แต่สำหรับคนที่ป่วยที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต นอกจากจะไม่แสดงอาการใด ๆ แล้ว การรักษาค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องหมั่นพูดคุยและทำความเข้าใจกับผู้ป่วยบ่อย ๆ ซึ่งมีแค่คนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นหากคุณอยากรู้ว่าคนรอบข้างมีอาการป่วยทางจิตอยู่หรือเปล่า ให้จับสังเกตจากพฤติกรรมและความผิดปกติเหล่านี้ดูนะครับ

 1. เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

       โดยทั่วไปแล้วความวิตกกังวลนั้นจะหายไปเมื่อเราหาทางออกให้กับปัญหาได้ หรือมีโอกาสระบายให้ผู้อื่นฟัง แต่สำหรับคนที่มีอาการป่วยทางจิตนั้นตรงกันข้าม เพราะนอกจากจะไม่สามารถกำจัดความวิตกกังวลออกไปได้แล้ว ความรู้สึกนั้นจะรุนแรงและเพิ่มระดับมากขึ้นด้วย รวมทั้งอาจมีอาการอื่น ๆ ตามมาอย่างเช่น ตื่นตกใจง่าย หัวใจเต้นแรง เหงื่อออก หรือไม่สามารถควบคุมตัวเองเมื่อเจอกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้พวกเขาสามารถรับรู้การกระทำทุกอย่าง เพียงแต่ไม่สามารถควบคุมระบบการตอบสนองได้เท่านั้นเอง

 2. อารมณ์แปรปรวนง่าย

       คนที่มีอาการทางจิตนอกจากจะมีความวิตกกังวลแล้ว อารมณ์ของพวกเขายังแปรปรวนได้ง่ายอีกด้วย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้คงที่ได้ บางคนกำลังเสียใจแต่อยู่ดี ๆ ก็กลับดีใจขึ้นมา เปลี่ยนอารมณ์แบบกระทันหันซะอย่างนั้น ทั้งนี้หากปล่อยให้อาการเรื้อรังโดยไม่รีบเข้ารับการรักษา อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังหรือโรคอารมณ์สองขั้วได้

 3. กลายเป็นคนโรคจิต 

       ภาวะที่ผู้ป่วยไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะหลงอยู่ในภาพหลอนหรือสิ่งที่สมองสร้างขึ้นมา อาจมีอาการสูญเสียการควบคุมทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งผู้ที่มีอาการดังกล่าวส่วนใหญ่ มักจะเป็นคนที่มีความวิตกกังวลสูง อารมณ์แปรปรวน เหงา หรือมีความเศร้าที่สะสมในจิตใจมากกว่าคนปกติทั่วไป

 4. พฤติกรรมการกินผิดปกติ

       เมื่อเทียบพฤติกรรมการกินในเวลาปกติแล้ว สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น กินมากขึ้นหรือกินอาหารได้น้อยลงผิดปกติ ส่งผลให้น้ำหนักของผู้ป่วยเปลี่ยนไปด้วย และอาจกลายเป็นสาเหตุของโรคเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน ไม่ว่าจะเป็น โรคอะนอเร็กเซียหรือบูลิเมีย เป็นต้น

 5. พฤติกรรมเสพติด 

       พฤติกรรมเสพติดที่ว่านี้ไม่ใช่แค่เพียงการติดสารเสพติดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอาการที่หมกหมุ่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป อย่างเช่น โซเชียลเน็ตเวิร์ก เซ็กส์ หรือเรื่องอื่น ๆ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้นี่เองที่เป็นที่มาของการเกิดปัญหาและอาการป่วยทางจิตได้

จับสังเกตอาการผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิต พร้อมวิธีรักษา

การรักษา 

1. พบจิตแพทย์ 

       วิธีรักษาสำหรับผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิตก็คือ การพูดคุยกับกับจิตแพทย์ ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะหาสาเหตุที่มาที่ไปของโรคได้ นอกจากนี้การพบจิตแพทย์ยังสามารถใช้กับการรักษาโรคเกี่ยวกับสมอง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล บำบัดความคิด และพฤติกรรมของคนได้อีกด้วย

 2. การใช้ยา

ผู้ป่วยทางจิตบางรายอาจต้องใช้ยารักษาควบคู่ไปกับการพบจิตแพทย์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้การใช้ยาในการรักษาอาจระงับอาการได้ช่วงระยะสั้น ๆ เท่านั้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ยาที่ใช้ทั่วไปได้แก่ fluoxetine, olanzapine, paroxetine, carbamazepine, risperidone, sertraline เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากต้องการทานยาเพื่อรักษา ก็ควรอยู่ในการควบคุมของแพทย์จะดีกว่า

       อาการป่วยทางจิตไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป หากพบว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นก็ควรรีบรักษาโดยด่วน เพราะถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้นาน ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ ทั้งเรื่องของระบบการทำงานภายในร่างกาย สุขภาพ และบุคลิกของคน ๆ นั้น ซึ่งจะส่งผลให้พวกเขาใช้ชีวิตในสังคมได้ยากขึ้นและอาจโดนต่อต้านได้

ที่มา : http://men.kapook.com/view55168.html

4 ความลับน่ารู้ของการเผาผลาญพลังงาน

เรียบเรียงจาก 4 ความลับน่ารู้ของการเผาผลาญพลังงาน

วิธีการเผาผลาญพลังงานอย่างง่ายๆ ก็คือ การดื่มน้ำนั่นเอง

1. ร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากกว่าเวลาย่อยอาหารและเครื่องดื่มเย็นจัด 

ice  

       จริง  แต่ก่อนที่คุณจะรีบไปกินไอศกรีม ฟังนี่ก่อน ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นอาจเล็กน้อยมากจนเห็นไม่ได้ชัดเจน โดยงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าการดื่มน้ำเย็นจัดๆ 5-6 แก้วต่อวันอาจช่วยคุณเผาผลาญได้มากขึ้นราว 10 แคลอรีต่อวัน แต่ถึงแม้มันจะเล็กน้อยมาก ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะดื่มของเหลวไม่มีแคลอรีอย่างน้ำเปล่า ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่ครีมและน้ำตาล) กับน้ำแข็ง เพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

2. การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม

water

       ช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกายคุณทั้งหมด รวมทั้งการเผาลาญพลังงานต้องอาศัยน้ำ ถ้าคุณขาดน้ำ คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้น้อยลงราว 2% นี่เป็นผลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ซึ่งติดตามดูระดับการเผาผลาญพลังงานของผู้ใหญ่ 10 คนในขณะที่ดื่มน้ำในปริมาณที่ต่างกันในแต่ละวัน โดยคนที่ดื่มน้ำแก้วละ 8 ออนซ์ 8-12 แก้วต่อวันมีระดับการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าคนที่ดื่มแค่สี่แก้ว

3. อาหารเผ็ดร้อนจะทำให้ระบบเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น

food

       แคปไซซิน–สารประกอบที่ทำให้พริกมีความเผ็ดร้อนช่วยขับเหงื่อ ที่อาจทำให้การเผาลาญพลังงานของคุณเพิ่มขึ้น พร้อมทำให้รู้สึกอิ่มและลดความหิว การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินพริกราว 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งเท่ากับแคปไซชิน 30 ม. ทำให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 23% ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ให้คนกินพริก 0.9 กรัมผสมในน้ำมะเขือเทศหรือในรูปแคปซูล ก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ นักวิจัยพบว่าแต่ละคนลดปริมาณการรับแคลอรีลงไปได้ราว 10 หรือ 16% เป็นเวลาสองวันหลังจากนั้น

4. การกินโปรตีนช่วยให้การเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น

protein

       จริง โปรตีนให้ประโยชน์ทางด้านการเผาผลาญเมื่อเทียบกับไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต เพราะร่างกายจะต้องใช้พลังงานมากกว่าในการย่อยมัน การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าคุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้มากถึงสองเท่าในขณะย่อย โปรตีนมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต ตามปกติอาหารของเราจะมีโปรตีนราว 14% ลองเพิ่มปริมาณขึ้นเท่าตัว (โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงเพื่อชดเชย) คุณจะเผาผลาญได้เพิ่มขึ้น 150-200 แคลอรีต่อวัน

ที่มา 

http://woman.teenee.com/beautytip/3215.html

http://www.kruthai.info/view.php?article_id=3602